วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2562

5.จงอธิบายความหมายและวามสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ

72 ความคิดเห็น:

  1. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    เป้าหมายและการวางแผนการศึกษา หากจะนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทุกก้าวเดินของการกำหนดเป้าหมาย การนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมจะทำให้ปัจจัยที่สำคัญ ทั้งในด้านข้อความของเป้าหมายต้องมีความชัดเจน จะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ องค์กรจะมีศักยภาพและความสามารถที่จะนำเป้าหมายไปปฏิบัติ และเกิดจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนของผู้ปฏิบัติ ที่สำคัญผู้นำในองค์กรต้องเข้มแข็ง และมีการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสริมแรงซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    (ปิยาภรณ์ ชินวงค์พรหม 12590051)

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ24 สิงหาคม 2562 เวลา 03:33

    -ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม

    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด

    5.ความยุ่งยากของงาน
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้

    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ

    (อภิษฐา เนียมศิริ 12590101)

    ตอบลบ


  3. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)

    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ


    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)

    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว


    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)

    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ


    4. บุคลากร (Staff)

    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น


    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)

    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน


    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)

    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น


    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)

    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง

    ในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (นางสาวณัฐพร ทองปลิว 12590024)

    ตอบลบ
  4. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง

    (นางสาวอัมรินทร์ เกมอ 12590105)

    ตอบลบ
  5. 5. จงอธิบายความหมายและความสำคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
    ตอบ : การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    นางสาวสุดารัตน์ สุขสาม (รหัส 12590090)

    ตอบลบ
  6. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)

    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ


    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)

    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว


    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)

    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ


    4. บุคลากร (Staff)

    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น


    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)

    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน


    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)

    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น


    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)

    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง

    ในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง

    นายสุ​ก​ั​ลย์​ ​จันทร์​ตรี​ 12590087​

    ตอบลบ
  7. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    (อภัสสร ปูชนียกุล 12590100)

    ตอบลบ
  8. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    สุภัทษา สนธิช่วย 12590096

    ตอบลบ
  9. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเป้าหมาย
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันกับเป้าหมายที่กำหนดขึ้น
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์
    3.ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาศให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและผิดพลาด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน เป็นที่คาดหมายได้ว่าหากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดี
    5.ความยุ่งยากของงาน แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
    6.ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ เช่นความเพียงพอและความเหมาะสมของอุปกรณ์

    7.ผลการปฏิบัติงาน ผลของการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ
    (อารียา ปานทอง 12590109)

    ตอบลบ
  10. ข้อ 5
    ความสำคัญของเป้าหมาย
    การทำงานในองค์กร นอกเหนือจากการทำงานในหน้าที่การงานตามปกติแล้ว จะมีการส่งข้อมูลที่ได้รับในระหว่างการปฏิบัติงานขึ้นสู่ผู้บริหารระดับบน ทั้งในลักษณะข้อมูลข่าวสาร ปัญหา ผลการปฏิบัติงาน รายงาน และข้อเสนอแนะ ในขณะเดียวกันก็จะมีการส่งข้อมูลจากผู้บริหารระดับบนสู่บริหารระดับล่างเป็นทอดๆ โดยผู้บริหารกลางจะแปลงความมุ่งหมาย (Goal) และนโยบายที่ได้รับจากผู้บริหารระดับสูงให้เป็นวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ ส่วนผู้บริหารระดับล่างก็จะแปลงวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ของผู้บริหารระดับกลางให้เป็นเป้าหมายและการปฏิบัติ
    ลักษณะเป้าหมายที่มีประสิทธิผล
    เป้าหมายที่ดีและนำไปใช้ปฏิบัติให้เกิดผลได้ ต้องเป็นเป้าหมายที่ผู้ปฏิบัติเห็นว่ามีความสำคัญ มีความชัดเจนไม่ต้องการการตีความ มีลักษณะชี้ชัดเจาะจงลงไปว่าต้องการอะไร เท่าไร เมื่อไร เป้าหมายจะต้องสามารถวัดได้โดยมีตัวชี้วัดที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับเป้าหมายและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กร ที่สำคัญคือ เป้าหมายจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ มีความท้าทายโดยมีเป้าหมายไม่ต่ำเกินไป และเมื่อทำได้สำเร็จตามนั้นแล้วจะได้รับรางวัลตอบแทนอะไร รางวัลดังกล่าวควรสัมพันธ์กับเป้าหมายอย่างสมเหตุสมผล ไม่มากไปหรือน้อยไป
    (อรณิชา ศรีสมัย 12590102)

    ตอบลบ
  11. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกหลายประการ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด โดยปัจจัยต่างๆมีดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment)
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability)
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior)
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นไปในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจ ส่วนใดขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรตักเตือน
    5.ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity)
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ (Constraints)
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน (Performance)
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (น.ส.ศศิพิมพ์ ชัยกุลพัฒนา 12590076)

    ตอบลบ
  12. ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวปรมาพร สิงขรรัตน์ 12590046)

    ตอบลบ
  13. ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน
    ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการฃ
    (นางสาวสิริรัตน์ ศิริพรทุม 12590086)

    ตอบลบ
  14. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหรือสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต้องรีบกำจัดออกไปโดยเร็ว ได้แก่
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย(Goal Commitment)การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน(Job Knowledge and Ability)ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ(Feedback)การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน(Working Behavior)ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5.ความยุ่งยากของงาน(Task Complexity)ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่นๆ(Constraints)ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน(Performance)ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (ปวีณา เกตุแย้ม 12590047)

    ตอบลบ
  15. การนำแผนกลยุทธ์ธุรกิจไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผล คือ กิจกรรมที่ดำเนินเพื่อทำให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้นำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ
    ประการแรก การดำเนินกลยุทธ์ คือ การประสานงานภายในองค์กรที่สอดคล้องกัน 
    ประการที่สอง การดำเนินกลยุทธ์ คือ การปฏิบัติโดยยึดตามแผนที่วางไว้ พร้อมปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
    ประการที่สาม การสื่อสาร คือ ความเข้าใจของคนในองค์กร 
    ประการที่สี่ วัฒนธรรมสร้างผลงานนำไปสู่การดำเนินการที่สำเร็จ 
    ประการสุดท้าย การดำเนินกลยุทธ์ควรขับเคลื่อนมาจากผู้บริหาร 

    การนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผล (Strategic implementation) จึงถือเป็นความสามารถอีกอย่างหนึ่งขององค์กร ในการประสานงานร่วมมือกับแผนกต่างๆ ขององค์กรได้อย่างสอดคล้องกันไปพร้อมกับปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอก รวมไปถึงการสื่อสารระหว่างผู้บริหารและผู้จัดการเพื่อสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน ปัจจัยเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะทำให้องค์กรหลีกเลี่ยงอุปสรรคในการดำเนินงานเท่านั้น ยังสามารถช่วยแปลงกลยุทธ์ขององค์กรนำไปสู่ผลลัพธ์ที่มุ่งหวังได้ 
    (ชนกนาฎ สหทรัพย์เจริญ 12590012)

    ตอบลบ
  16. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (วัชระ จริยสุขสกุล 12590071)

    ตอบลบ
  17. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน
    ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ


    กุลปริยา แย้มเกษร 12590005

    ตอบลบ
  18. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    ( นายนภนต์ เจียรนัย 12590040 )

    ตอบลบ
  19. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง

    ศิฌาวี เรือนปัญจะ 12590078

    ตอบลบ
  20. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1.กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3.ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4.บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5.ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6.รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7.ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง (ชัชญาณ์ณัฐ ภูวิศภัทรนนท์ 12590110)

    ตอบลบ
  21. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ (ศุภิสรา นรินยา 12590717)

    ตอบลบ
  22. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวคณภัทร์ ศิริโยธิน 12590108)

    ตอบลบ
  23. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    ( ณัฐชัญญา ปรินจิตต์ 12590896)

    ตอบลบ
  24. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (นางสาว ณัฐฐา จินตกวีพันธุ์ 12590020)

    ตอบลบ
  25. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง

    ธีรภัทร์ จำปาเรือง 12590039

    ตอบลบ
  26. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    เป้าหมายและการวางแผนการศึกษา หากจะนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทุกก้าวเดินของการกำหนดเป้าหมาย การนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมจะทำให้ปัจจัยที่สำคัญ ทั้งในด้านข้อความของเป้าหมายต้องมีความชัดเจน จะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ องค์กรจะมีศักยภาพและความสามารถที่จะนำเป้าหมายไปปฏิบัติ และเกิดจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนของผู้ปฏิบัติ ที่สำคัญผู้นำในองค์กรต้องเข้มแข็ง และมีการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสริมแรงซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นายธนสิทธิ์ อาจอ่อนศรี 12590036

    ตอบลบ
  27. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (บุญธิดา กะตะศิลา 12590043)

    ตอบลบ
  28. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    ( น.ส. อังคณา พิทักษ์สุข 12590104)

    ตอบลบ
  29. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    เป้าหมายและการวางแผนการศึกษา หากจะนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทุกก้าวเดินของการกำหนดเป้าหมาย การนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมจะทำให้ปัจจัยที่สำคัญ ทั้งในด้านข้อความของเป้าหมายต้องมีความชัดเจน จะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ องค์กรจะมีศักยภาพและความสามารถที่จะนำเป้าหมายไปปฏิบัติ และเกิดจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนของผู้ปฏิบัติ ที่สำคัญผู้นำในองค์กรต้องเข้มแข็ง และมีการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสริมแรงซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    (นายธนพล โชครัตน์ประภา 12590033)

    ตอบลบ
  30. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวกรกนก จันทร์พันธุ์ 12590003)

    ตอบลบ
  31. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง

    นาย ดนุสรณ์ เลิศเศรษฐี 12590028

    ตอบลบ
  32. 1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน
    ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวภิตติมาตุ์ เอื้ออรุณชัย 12590062)

    ตอบลบ

  33. 1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน
    ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวพัชรา จูเอี่ยม 12590054)

    ตอบลบ
  34. “ไม่ว่ากลยุทธ์จะสวยหรูแค่ไหน คุณควรจะมองให้เห็นไปถึงผลลัพธ์ด้วย” Sir Winston Churchill
    แนวคิดการนำแผนกลยุทธ์ธุรกิจไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผล คือ กิจกรรมที่ดำเนินเพื่อทำให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้นำไปสู่การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ เช่น การพัฒนาและดำเนินการแผนการตลาดแผนใหม่เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับผลิตภัณฑ์ของบริษัท เป็นต้น แม้ว่าแนวคิดนี้จะมีมานานแล้ว แต่ก็วงการวิชาการก็ยังค้นคว้าเพื่อหาปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินกลยุทธ์ในทางปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย MIT และ London Business School ได้แก่ Donald Sull, Rebecca Homkes และ Charles Sull ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการนำแผนกลยุทธ์ธุรกิจไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลจากผู้บริหาร 8,000 คนจากบริษัทชั้นนำทั่วโลกกว่า 250 บริษัท และรายงานผลไว้ในวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมีนาคม 2558 จากผลการสำรวจในภาพรวมพบว่าบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่มตัวอย่างมีแนวทางการพัฒนาและวางแผนกลยุทธ์ แต่มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีสามารถนำกลยุทธ์มาปฏิบัติให้เกิดผลจริง ดังนั้น ทีมผู้วิจัยจึงเสนอแนะปัจจัยที่ทำให้การนำกลยุทธ์ไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลสำเร็จได้ 5 หัวข้อ ดังนี้
    ประการแรก การดำเนินกลยุทธ์ คือ การประสานงานภายในองค์กรที่สอดคล้องกัน
    ประการที่สอง การดำเนินกลยุทธ์ คือ การปฏิบัติโดยยึดตามแผนที่วางไว้ พร้อมปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
    ประการที่สาม การสื่อสาร คือ ความเข้าใจของคนในองค์กร
    ประการที่สี่ วัฒนธรรมสร้างผลงานนำไปสู่การดำเนินการที่สำเร็จ
    ประการสุดท้าย การดำเนินกลยุทธ์ควรขับเคลื่อนมาจากผู้บริหาร
    (ดร.รพีพร รุ้งสีทอง rapeepornr@gmail.com
    อาจารย์ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)

    รัญชริดา มะนุ่น 12590067


    ตอบลบ
  35. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy) การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล(Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff) เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill) ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ 1.ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบ 2.ทักษะความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style) แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values) ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร
    (ณัฐฌา ปักกัง 12590019)

    ตอบลบ
  36. ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน
    ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (ภัทรานิษฐ์ กุญแจทอง 12590059)

    ตอบลบ
  37. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม

    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด

    5.ความยุ่งยากของงาน
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้

    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวสิตานัน หรุ่นทอง 12590082)

    ตอบลบ

  38. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ

    นางสาววชิราพร คำกอง 12590068

    ตอบลบ
  39. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    เป้าหมายและการวางแผนการศึกษา หากจะนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทุกก้าวเดินของการกำหนดเป้าหมาย การนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมจะทำให้ปัจจัยที่สำคัญ ทั้งในด้านข้อความของเป้าหมายต้องมีความชัดเจน จะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ องค์กรจะมีศักยภาพและความสามารถที่จะนำเป้าหมายไปปฏิบัติ และเกิดจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนของผู้ปฏิบัติ ที่สำคัญผู้นำในองค์กรต้องเข้มแข็ง และมีการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสริมแรงซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    (นางสาว สรัสนันท์ บุญมี 12590080)

    ตอบลบ
  40. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด
    5.ความยุ่งยากของงาน
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (เบญญาภา กรีรถ 12590044)

    ตอบลบ
  41. 1. ความมุ่งมั่น ความมุ่งมันในการทำธุรกิจถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถเป็นแรงผลักดันในการทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจใดก็ตาม ซึ่งคุณเองต้องมีความเชื่อมั่นว่าจะต้องทำได้ และสามารถทำเร็จได้
    2. คุณภาพของสินค้า/บริการต้องดี โดยคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่ดีในที่นี้หมายถึง คุณภาพที่สามารถรักษามาตรฐานให้ดีได้ตลอด ไม่ควรทำให้คุณภาพของสินค้าหรือบริการตกลง ควรทำให้คุณภาพของสินค้าหรือบริการดีขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ลูกค้าสนใจแบรนด์ของคุณมากยิ่งขึ้น

    3. ใส่ใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆตลอดเวลา การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้นสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการพึงมีคือ การใส่ใจที่เรียนรู้สิ่งต่างๆอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะนำความรู้ที่ได้นั้นมาพัฒนาธุรกิจของคุณให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณสามารถแก้ไขปัญหาที่เข้ามาได้ทันท่วงทีและทำให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
    พัชมน มนต์วิมลพร 12590053

    ตอบลบ

  42. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกหลายประการ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด โดยปัจจัยต่างๆมีดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment)
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability)
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior)
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นไปในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจ ส่วนใดขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรตักเตือน
    5.ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity)
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ (Constraints)
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน (Performance)
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ

    (นางสาวชนาวาส บัววงค์)12590013

    ตอบลบ
  43. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    (มณฑล น้ำแก้ว 12590065)

    ตอบลบ
  44. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ คือ ข้อความของนโยบายหรือเป้าหมายเป็นตัวปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว, การสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ, ศักยภาพและความสามารถขององค์การที่นำนโยบายไปปฏิบัติ, จิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนะของผู้ปฏิบัติ ,ผู้นำ, การมีส่วนร่วมของทุกคนในองค์กร และการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและการเสริมแรง
    เป้าหมายและการวางแผนการศึกษา หากจะนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทุกก้าวเดินของการกำหนดเป้าหมาย การนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติทุกคนในองค์กรต้องมีส่วนร่วมจะทำให้ปัจจัยที่สำคัญ ทั้งในด้านข้อความของเป้าหมายต้องมีความชัดเจน จะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจ องค์กรจะมีศักยภาพและความสามารถที่จะนำเป้าหมายไปปฏิบัติ และเกิดจิตสำนึกของผู้ปฏิบัติหรือทัศนของผู้ปฏิบัติ ที่สำคัญผู้นำในองค์กรต้องเข้มแข็ง และมีการกำกับดูแลติดตามประเมินผลและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การเสริมแรงซึ่งจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้องค์กรเกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    (หมายขวัญ นวลอุไร 12590099)

    ตอบลบ
  45. 1.ความมุ่งมั่นชัดเจนในเป้าหมาย
    หากมีความตั้งใจ ความทุ่มเทก็จะเกิดตามไปด้วย ความเพียรพยายาม ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ จะทำให้คุณทำงานอย่างไม่มีขีดจำกัด
    2.พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ
    จงหมั่นหาความรู้และเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ว่าจากข้อมูล ข่าวสาร วิทยาการใหม่ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาสู่สังคมเราอย่างรวดเร็ว ดังนั้นคนทำงานที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีการเรียนรู้และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คิดค้นหาโอกาสและช่องทางใหม่ๆ ในการพัฒนาตัวเอง ความสำเร็จในหน้าที่การงานจึงไม่หยุดนิ่งตามไปด้วย
    3.ความคิดสร้างสรรค์ คือกุญแจอีกดอกหนึ่งสู่ความสำเร็จ
    ความแปลกใหม่ หรือความหลากหลายต่อรูปแบบการทำงานทำให้หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานประทับใจและจดจำคุณได้เป็นอย่างดี การไม่ยึดติดรูปแบบ การคิดบวกและแสวงหาช่องทางและโอกาสใหม่ๆ ในการทำงานส่งผลให้เกิดการพัฒนางานที่หลากหลายตามไปด้วย
    4.ทักษะการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพก็สำคัญไม่แพ้กัน
    การสื่อสารทั้งการพูด การแสดงออก และการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานแต่ละระดับจะมีผลต่อความสำเร็จของงานที่ทำทั้งสิ้น การสื่อสารสองทางอย่างชัดเจน เป็นมิตร มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และคิดบวก คือเคล็ดลับของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
    5.ทักษะการแก้ปัญหาและตัดสินใจ
    เป็นทักษะเฉพาะตัวที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นคงทางอารมณ์ ความเชื่อมั่นในข้อมูลและองค์ความรู้ในการทำงาน การคิดค้นและสร้างสรรค์งาน รวมไปถึงทักษะการสร้างการมีส่วนร่วมของทีมงานส่งผลต่อการตัดสินใจและการแก้ปัญหาอย่างมีเหตุมีผล และชัดเจนตรงประเด็น
    6.การบริหารเวลา
    ทักษะการบริหารเวลาคืออัจฉริยภาพของคนๆ นั้น เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ซื่อสัตย์และเที่ยงตรงที่สุดต่อมนุษย์ทุกคนไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ยากดีมีจน เพศ และอายุ ทุกคนมี 24 ชั่วโมงใน 1 วัน 365 วันใน 1 ปีเท่ากัน ดังนั้นความได้เปรียบ เสียเปรียบของคนทำงานจึงอยู่ที่ทักษะการบริหารจัดการเวลาให้เหนือกว่าคนอื่น แล้วความสำเร็จทั้งการงาน การเงิน และชีวิตส่วนตัวจึงตามมาด้วย
    นางสาวณัฐนรี สีทองสุก 12590022

    ตอบลบ
  46. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้
    (ณัฐนพิน ชินวัฒนา 12590021)

    ตอบลบ
  47. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม

    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด

    5.ความยุ่งยากของงาน
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้

    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (เอเซีย พิทยาพละ 12590112)

    ตอบลบ
  48. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    (สิทธิชัย พ่อค้าเรือ 12590083)

    ตอบลบ
  49. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (สมภพ ขุนทรง 12590079)

    ตอบลบ
  50. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    (นายชินวัตร พิพัฒน์พงศานนท์ 12590015)

    ตอบลบ
  51. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอีกหลายประการ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด โดยปัจจัยต่างๆมีดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment)
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability)
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback)
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior)
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นไปในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจ ส่วนใดขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรตักเตือน
    5.ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity)
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ (Constraints)
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน (Performance)
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (สิริกร ราชมณี12590084)

    ตอบลบ
  52. -ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม

    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด

    5.ความยุ่งยากของงาน
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้

    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (จุฬาลักษณ์ สกุลวงวาร 12590010)

    ตอบลบ
  53. 1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด
    5.ความยุ่งยากของงาน
    แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (สุรีรัตน์ สระเกตุ 12590098 )

    ตอบลบ

  54. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ
    ผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้

    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม

    3.ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด

    4.พฤติกรรมในการทำงาน
    เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น

    5.ความยุ่งยากของงาน
    หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็จะทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้

    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น

    7.ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ
    -พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน
    -ความยุ่งยากของงาน
    -ข้อจำกัดอื่นๆ
    ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวณัฐรี เต่าแก้ว 12590026)

    ตอบลบ
  55. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ (นางสาวดวงหทัย โฉมมา 12590029)

    ตอบลบ
  56. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    (นางสาวสุชานรี เวียนมานะ 12590089)

    ตอบลบ
  57. การทำให้การตั้งเป้าหมายได้รับผลตามที่ประสงค์นั้น นอกจากเนื้อหาของเป้าหมายแล้ว ยังมีปัจจัยเกี่ยวข้องอีกหลายประการ ได้แก่
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย (Goal Commitment) การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน (Job Knowledge and Ability) ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน (Working Behavior) ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน (Task Complexity) ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ (Constraints) ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน (Performance) ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (สัจจะ ปฎิบัติดี 12590081)

    ตอบลบ
  58. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    ในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (วริศ เอี๊ยวชัยพร 070)

    ตอบลบ
  59. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    (นางสาวภัทราพร ผังรัหษ์ 12590061)

    ตอบลบ
  60. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    ผนางสาวรัฎฐา กมลศิลป์ 12590018)

    ตอบลบ
  61. ปัจจัยในการบริหารงานในองค์กรจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน จึงจะเกิดกิจกรรมในการดำเนินงาน
    1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2.โครงสร้างองค์การ (Structure) คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System) ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (ปาลิตา มนัสปัญญากุล 12590049)

    ตอบลบ
  62. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    (สุรีรัตน์ ศักดิ์ภิรมย์12590954)

    ตอบลบ
  63. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหริขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ฝห้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ
    การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน
    ผู้บรหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ
    ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน
    ผลการปฏิบัตงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    นายธรรศธรรม จำปาทอง 12590790

    ตอบลบ
  64. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)

    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ


    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)

    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว


    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)

    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ


    4. บุคลากร (Staff)

    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น


    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)

    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน


    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)

    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น


    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)

    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง

    ในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (วิลาสินี เกตุแก้ว12590073)

    ตอบลบ
  65. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    วราภรณ์ ขันสมบัติ 12590069

    ตอบลบ
  66. ความหมายและความสัมคัญของปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ มีดังต่อไปนี้
    1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย
    เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยเเล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน
    ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงาน และต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานมิให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ จากภายนอกองค์กร ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (พงศธร ศิริสมบูรณ์ 12590052)

    ตอบลบ
  67. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)
    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ
    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)
    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว
    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)
    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ
    4. บุคลากร (Staff)
    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)
    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน
    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)
    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น
    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)
    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง
    ในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (ชุติกาญจน์ ปานดารา 12590016)

    ตอบลบ
  68. 1. กลยุทธ์ขององค์กร (Strategy)

    การบริหารเชิงกลยุทธ์เป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้บริหารตอบคำถามที่สำคัญ อาทิ องค์กรอยู่ที่ไหนในขณะนี้ องค์กรมีเป้าหมายอยู่ที่ไหน พันธกิจของเราคืออะไร พันธกิจของเราควรจะเป็นอะไร และใครเป็นผู้รับบริการของเรา การบริหารเชิงกลยุทธ์จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การบริหารเชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กร กำหนดและพัฒนาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้นมาได้และเป็นแนวทางที่บุคคลภายในองค์กรรู้ว่าจะใช้ความพยายามไปในทิศทางใดจึงจะประสบความสำเร็จ


    2. โครงสร้างองค์การ (Structure)

    คือโครงสร้างที่ได้ตั้งขึ้นตามกระบวนการ หรือหน้าที่ของงานโดยมีการรับบุคลากรให้เข้ามาทำงานร่วมกันในฝ่ายต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ที่ตั้งไว้ หรือหมายถึง การจัดระบบระเบียบให้กับบุคคล ตั้งแต่ 2-คนขึ้นไป-เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่วางไว้-เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันมีขนาดใหญ่-การจัดองค์กรที่ดีจะมีส่วนช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน ลดความซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งในหน้าที่ ช่วยให้บุคลากรได้ทราบขอบเขตงานความรับผิดชอบ มีความสะดวกในการติดต่อประสานงาน ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว


    3. ระบบการปฏิบัติงาน (System)

    ในการปฏิบัติงานตามกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ตามที่กำหนดไว้นอกจากการจัดโครงสร้างที่เหมาะสมและมีกลยุทธ์ที่ดีแล้ว การจัดระบบการทำงาน (Working System) ก็มีความสำคัญยิ่ง อาทิ ระบบบัญชี/การเงิน (Accounting/Financial System) ระบบพัสดุ (Supply System) ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology System) ระบบการติดตาม/ประเมินผล (Monitoring/Evaluation System) ฯลฯ


    4. บุคลากร (Staff)

    ทรัพยากรมนุษย์นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กร องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management
    การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ เป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับบุคลากรนั้นควรมีการวิเคราะห์ที่อยู่บนพื้นฐานของกลยุทธ์องค์การที่เป็นสิ่งกำหนดทิศทางที่องค์การจะดำเนินไปให้ถึง ซึ่งจะเป็นผลให้กระบวนการกำหนดคุณลักษณะ และการคัดเลือกและจัดวางบุคลากรได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น


    5. ทักษะ ความรู้ ความสามารถ (Skill)

    ทักษะในการปฏิบัติงานของทรัพยากรบุคคลในองค์การสามารถแยกทักษะออกเป็น 2 ด้านหลัก คือ ทักษะด้านงานอาชีพ (Occupational Skills) เป็นทักษะที่จะทำให้บุคลากรสามารถปฎิบัติงานในตำแหน่งหน้าที่ได้ ตามหน้าที่ และลักษณะงานที่รับผิดชอบเช่น ด้านการเงิน ด้านบุคคล ซึ่งคงต้องอยู่บนพื้นฐานการศึกษาหรือได้รับการอบรมเพิ่มเติม ส่วนทักษะ ความถนัด หรือความชาญฉลาดพิเศษ (Aptitudes and special talents) นั้นอาจเป็นความสามารถที่ทำให้พนักงานนั้นๆโดดเด่นกว่าคนอื่น ส่งผลให้มีผลงานที่ดีกว่าและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้รวดเร็ว ซึ่งองค์การคงต้องมุ่งเน้นในทั้ง 2 ความสามารถไปควบคู่กัน


    6. รูปแบบการบริหารจัดการ (Style)

    แบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของผู้บริหารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของสภาพแวดล้อมภายในองค์กร พบว่า ความเป็นผู้นำขององค์กรจะมีบทบาทที่สำคัญต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กร ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องวางโครงสร้างวัฒนธรรมองค์กรด้วยการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นเลิศและพฤติกรรมทางจรรยาบรรณให้เกิดขึ้น


    7. ค่านิยมร่วม (Shared values)

    ค่านิยมและบรรทัดฐานที่ยึดถือร่วมกันโดยสมาชิกขององค์กรที่ได้กลายเป็นรากฐานของระบบการบริหาร และวิธีการปฏิบัติของบุคลากรและผู้บริหารภายในองค์กร หรืออาจเรียกว่าวัฒนธรรมองค์กร รากฐานของวัฒนธรรมองค์กรก็คือ ความเชื่อ ค่านิยมที่สร้างรากฐานทางปรัชญาเพื่อทิศทางขององค์กร โดยทั่วไปแล้วความเชื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพและเป้าหมายของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริหารระดับสูง ต่อมาความเชื่อเหล่านั้นจะกำหนดบรรทัดฐาน เป็นพฤติกรรมประจำวันขึ้นมาภายในองค์กร เมื่อค่านิยมและความเชื่อได้ถูกยอมรับทั่วทั้งองค์กรและบุคลากรกระทำตามค่านิยมเหล่านั้นแล้วองค์กรก็จะมีวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง

    ในการประเมินสมรรถนะขององค์การถือว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างความยั่งยืนในการพัฒนา เนื่องจากจะทำให้เราได้รู้สภาพความเป็นจริงว่าองค์การของเรามีสมรรถนะอย่างไร อาจเปรียบได้กับการตรวจร่างกายของคนเพื่อที่จะทราบถึงความแข็งแร็งและสมบูรณ์ และค้นหาโรคภัยต่างๆ ในกรณีองค์การก็เช่นเดียวกัน การค้นพบจุดอ่อนก็เปรียบการค้นพบโรคที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษาให้หายหรือทุเลาลงไป เพื่อพร้อมที่จะดำรงอยู่อย่างมั่นคงและสามารถไปสู่เป้าหมายที่ฝันไว้ให้ได้นั่นเอง
    (อัษฎาวุธ เขตเจริญ 12590106)

    ตอบลบ
  69. ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งเป้าหมาย
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันกับเป้าหมายที่กำหนดขึ้น
    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์
    3.ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาศให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและผิดพลาด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน เป็นที่คาดหมายได้ว่าหากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดี
    5.ความยุ่งยากของงาน แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้
    6.ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ อีกหลายประการ เช่นความเพียงพอและความเหมาะสมของอุปกรณ์

    7.ผลการปฏิบัติงาน ผลของการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ
    (น.ส.ดารารัตน์ ดาสาลี 12590030)

    ตอบลบ
  70. 1. การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายขั้นตอนต่อไปที่ผู้บริหารควรให้ความสนใจ คือการทำให้สมาชิกในองค์กรเกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายที่กำหนดขึ้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายแล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น
    2. ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหารต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนไป ผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรม ฝึกฝน ให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่ม
    3. ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้องและผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไข และพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด
    4. พฤติกรรมในการทำงาน ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด หากพฤติกรรมใดเป็นในทางที่ดี ผู้บริหารควรให้กำลังใจและชมเชย แต่หากยังมีส่วนใดที่ขาดตกบกพร่อง ผู้บริหารควรต้องตักเตือนและหาทางแก้ไขต่อไป
    5. ความยุ่งยากของงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของาน และต้องให้กำลังใจไม่ให้เลิกกลางคัน ผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันเห็นความสำเร็จในภายหน้าได้
    6. ข้อจำกัดอื่นๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆ ผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่าง ๆ ภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
    7. ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวกชกร เดชกำแหง 12590001)

    ตอบลบ
  71. ปัจจัยที่มีผลต่อการนำเป้าหมายไปสู่การปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้บริหารจำเป็นต้องเร่งรัดหาหรือสร้างให้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงาน ปัจจัยใดที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานผู้บริหารต้องเร่งจัดการ หรือกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด มีปัจจัยดังนี้
    1.การยอมรับและมีความรู้สึกผูกพันในเป้าหมาย การทำให้เกิดการยอมรับและผูกพันกับเป้าหมายนั้น ผู้บริหารจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุผลและความสำคัญของการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย แล้วจึงมอบหมายภาระงานให้กับผู้ปฏิบัติงานตามลำดับขั้น นอกจากนี้ผู้บริหารยังต้องกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานกระตือรือร้นและสร้างความคาดหวังในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย ผู้บริหารอาจแจ้งเป้าหมายของแต่ละคนให้กับสมาชิกทั่วทั้งองค์กรทราบ เพื่อสร้างแรงกดดันในระดับที่เหมาะสมกับการทำงาน และสิ่งสำคัญผู้บริหารต้องมีสิ่งจูงใจหรือรางวัลมอบให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการทำงานให้สำเร็จตามเป้าหมาย

    2.ความรู้และความสามารถของผู้ปฏิบัติงาน ผู้บริหารจำเป็นต้องประเมินว่าผู้ปฏิบัติงานมีความรู้และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จได้หรือไม่ หากมีไม่เพียงพอหรือขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปผู้บริหารจำเป็นต้องจัดการอบรมฝึกฝนให้ความรู้หรือประสบการณ์แก่ผู้ปฏิบัติงานเพิ่มเติม
    3.ข้อมูลย้อนกลับ การที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับข้อมูลย้อนกลับที่เที่ยงตรงและทันต่อเหตุการณ์ ย่อมเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานทั้งที่ถูกต้องและที่ผิดพลาด ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดผู้ปฏิบัติงานจะสามารถปรับปรุงแก้ไขและพยายามดำเนินงานมากขึ้นเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
    4.พฤติกรรมในการทำงาน เป็นที่คาดหมายได้ว่า หากองค์กรกำหนดเนื้อหาของเป้าหมายที่เหมาะสม ผู้ปฏิบัติงานยอมรับและผูกพันกับเป้าหมาย ตลอดจนมีความรู้ความสามารถเพียงพอต่อการทำงานและได้รับข้อมูลย้อนกลับเหมาะสมในเวลาอันควรแล้ว ย่อมสนับสนุนให้พฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในทางที่ดีนั้น คือผู้ปฏิบัติงานจะมีความเพียรพยายามสูงขึ้นและอาจถึงขั้นมุ่งมั่นอดทนและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคที่ขวางหน้า ผู้บริหารควรติดตามพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด
    5.ความยุ่งยากของงาน แม้ผู้ปฏิบัติจะมีความตั้งใจเพียงใด แต่หากงานประเภทนั้นมีความยุ่งยากสูง ก็ทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความยุ่งยากของงานและต้องให้กำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานไม่ให้ปั่นป่วนหรือล้มเลิกกลางคัน เนื่องจากผู้ที่ล้มเลิกกลางคันจะไม่มีวันได้เห็นความสำเร็จ แต่ผู้ที่พยายามต่อไปยังมีโอกาสได้รับความสำเร็จในภายหน้าได้
    6.ข้อจำกัดอื่น ๆ ผู้ปฏิบัติงานอาจพบข้อจำกัดและอุปสรรคอื่นๆอีกหลายประการ เช่น ความเพียงพอและเหมาะสมของอุปกรณ์ อาคาร สถานที่ วัตถุดิบ ผู้ร่วมงาน ตลอดจนอุปสรรคอื่นๆ จากภายนอกองค์กรผู้บริหารจึงต้องคอยดูแลช่วยเหลือผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำเนินงานต่างๆภายใต้ข้อจำกัดหรืออุปสรรค ตลอดจนช่วยแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น
    7.ผลการปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานจะเป็นที่น่าพอใจเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือ พฤติกรรมในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน ความยุ่งยากของงาน และข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้นผู้บริหารจึงจำเป็นที่จะต้องบริหารจัดการปัจจัยทั้ง 3 เพื่อให้ผลงานปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
    (นางสาวศศิประภา ผาดศรี 12590075)

    ตอบลบ
  72. ความสำคัญของเป้าหมาย
    การทำงานในองค์กร นอกเหนือจากการทำงานในหน้าที่การงานตามปกติแล้ว จะมีการส่งข้อมูลที่ได้รับในระหว่างการปฏิบัติงานขึ้นสู่ผู้บริหารระดับบน ทั้งในลักษณะข้อมูลข่าวสาร ปัญหา ผลการปฏิบัติงาน รายงาน และข้อเสนอแนะ ในขณะเดียวกันก็จะมีการส่งข้อมูลจากผู้บริหารระดับบนสู่บริหารระดับล่างเป็นทอดๆ โดยผู้บริหารกลางจะแปลงความมุ่งหมาย (Goal) และนโยบายที่ได้รับจากผู้บริหารระดับสูงให้เป็นวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ ส่วนผู้บริหารระดับล่างก็จะแปลงวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ของผู้บริหารระดับกลางให้เป็นเป้าหมายและการปฏิบัติ
    ลักษณะเป้าหมายที่มีประสิทธิผล
    เป้าหมายที่ดีและนำไปใช้ปฏิบัติให้เกิดผลได้ ต้องเป็นเป้าหมายที่ผู้ปฏิบัติเห็นว่ามีความสำคัญ มีความชัดเจนไม่ต้องการการตีความ มีลักษณะชี้ชัดเจาะจงลงไปว่าต้องการอะไร เท่าไร เมื่อไร เป้าหมายจะต้องสามารถวัดได้โดยมีตัวชี้วัดที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกับเป้าหมายและสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ขององค์กร ที่สำคัญคือ เป้าหมายจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ มีความท้าทายโดยมีเป้าหมายไม่ต่ำเกินไป และเมื่อทำได้สำเร็จตามนั้นแล้วจะได้รับรางวัลตอบแทนอะไร รางวัลดังกล่าวควรสัมพันธ์กับเป้าหมายอย่างสมเหตุสมผล ไม่มากไปหรือน้อยไป
    (นางสาวอรวี ศรีวิโน 12590103)

    ตอบลบ